"สิว" เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น หรือ ผู้ใหญ่วัยทำงานก็มีโอกาสเป็นสิวได้ค่ะ หลายคนจะเข้าใจว่าโตแล้วไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ไม่น่าจะเป็นสิว ซึ่งไม่เป็นความจริง นั่นเพราะว่า สิวไม่ได้มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น แต่สิวยังมีสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ อีกมากมาย
เช่น กรรมพันธุ์ , แสงแดด , สภาพอากาศร้อน , การแพ้ หรือ ระคายเคืองจากสารเคมี หรือ เครื่องสำอางต่างๆ รวมทั้งภาวะความเครียดทางร่างกายและจิตใจด้วย เช่น ความวิตกกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอค่ะ
นอกจากนี้ ในผู้หญิงเรา จะสังเกตได้ว่า ช่วงระยะก่อนมีรอบเดือน มักจะมีสิวขึ้นมากกว่าช่วงปกติด้วย ทั้งนี้ก็เพราะการแปรเปลี่ยนของฮอร์โมนในร่างกายค่ะ บางคนเป็นช่วงก่อนมีรอบเดือน บนคนก็เป็นระหว่างนั้น หรือบางคนอาจเป็นหลังรอบเดือนได้
สิวหายขาดได้หรือไม่?
คำตอบ คือ ต้องดูที่สาเหตุและปัจจัยกระตุ้นของแต่ละคนค่ะ หากหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆ เหล่านี้ได้ก็จะควบคุมการเกิดสิวได้ ทีนี้เราจะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวบางอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น ในคนผิวมัน หรือผิวผสมนั้น จะพบว่ามีปัญหาสิวขึ้นง่าย พอเป็นสิวบ่อยๆ สิวก็จะไม่หายขาดค่ะแต่ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ สิว ก็จะไม่ขึ้นมาก การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นสิวเหล่านี้ เป็นสิ่งจำเป็นมาก เทียบเท่ากับการรักษาสิวด้วยวิธีต่างๆ เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่หลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ ถึงแม้รักษาสิวไป ไม่ว่าจะทายา รับประทานยา หรือทำเลเซอร์สิว ก็สามารถกลับมาเป็นสิวได้อีกค่ะ
วิธีรักษาสิว
1. ทายารักษาสิว
วิธีแรก คือ การทายารักษาสิว ถือว่าเป็นวิธีพื้นฐานเลยค่ะ สำหรับการรักษาสิวโดยยาทาที่คุณหมอมักจะให้ใช้แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ1. Benzoyl peroxide
ยาทาตัวนี้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคที่พบในรูขุมขน และ ต่อมไขมัน ค่ะ อาจระคายเคืองผิว ทำให้ผิวแห้ง แสบ แดง และ ลอกได้ค่ะ
2. Tretinoin
ยาทาตัวนี้ มีฤทธิ์ละลายหัวสิวอุดตัน (comedone)ได้ดี ทำให้หัวสิวอุดตันหลวม และ หลุดออก และ สามารถป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่ด้วยค่ะ แต่ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้หน้าแดง แสบ และ ลอกได้เมื่อใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดดเป็นประจำ แล หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ ในขณะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรค่ะ
3. ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อชนิดทา
ยาทาตัวนี้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคค่ะ ใช้ทาแต้มเฉพาะสิวอักเสบ บางคนทาแล้วจะรู้สึกแสบๆ ได้บ้างค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นยาทารักษาสิวที่ใช้กันบ่อยๆนะคะ จะเห็นว่าส่วนใหญ่ยาทารักษาสิวเหล่านี้ มีผลข้างเคียงอยู่บ้างนั่นคือ ทำให้ผิวแสบแดง และแห้งลอกได้ จึงควรใช้โดยอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ค่ะ และสำหรับคนที่ผิวค่อนข้างบอบบางแพ้ง่าย อาจไม่สามารถใช้ยาทารักษาสิวบางตัวได้ค่ะ
2. รักษาสิวด้วยวิธีทางกายภาพ
นอกจากการรักษาสิวด้วยวิธีการทายารักษาสิว หรือเวชสำอางรักษาสิว และรับประทานยาแล้ว มีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นด้วยค่ะ นั่นคือวิธีทางกายภาพ หรือเรียกให้ดูหรูหราหน่อยว่า "ทรีทเมนต์รักษาสิว" ค่ะ ทรีทเมนต์รักษาสิวที่นิยมใช้กันมีอะไรบ้าง มาทำความรู้จักกันค่ะ1. การรักษาสิวด้วยการใช้ความเย็น (liquid nitrogen)
แพทย์จะในการรักษา สิวอักเสบ ที่เป็นซีสต์ เพื่อช่วยลดการอักเสบ และความเย็นจะทำให้ผนังของซีสต์ถูกทำลายไป
2. การรักษาสิวด้วยการกดสิว (comedone extraction)
วิธีการกดสิวใช้รักษาสิว ที่ไม่อักเสบทั้งชนิดหัวดำและหัวขาว ในรายที่รูเปิดของสิวเล็กมากอาจจำเป็นต้องขยายรูเปิด ซึ่งมีทั้งการใช้เข็มสะอาด หรือการใช้เลเซอร์เจาะรูเพื่อช่วยให้การกดสิว เป็นไปได้ง่ายขึ้น จากนั้นจึงกดเอาหัวสิวออกค่ะ
ส่วนขั้นตอนการกดเอาหัวสิวออก ก็มีทั้งใช้แท่งเหล็กที่มีรูตรงกลางกดออก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดรอยครูดที่ผิว เป็นแผลถลอกได้ง่ายค่ะ
ข้อควรระวังเมื่อกดสิว
การกดสิวต้องทำให้ถูกหลักวิธี และสะอาด มิฉะนั้นจะทำให้หัวสิวที่อุดตันอยู่หลุดลงไปในชั้นหนังแท้ และทำให้เกิดการอักเสบมากกว่าเดิม และอาจทำให้เกิดรอยแผลถลอกที่ผิวได้ด้วยค่ะ อย่างไรก็ตามหลังการ กดสิว ผิวจะบวมแดงได้เป็นปกตินะคะ สักพักก็จะหายค่ะ แต่ใครที่ผิวบอบบางหน่อย อาจมีรอยแดงๆ ทิ้งไว้นานกว่าปกติค่ะ
3. การรักษาสิวด้วยการฉีดสิว
แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบฉีดเข้าที่ถุงสิว จะทำให้การอักเสบของสิวลดลงอย่างรวดเร็วค่ะ4. การรักษาสิวด้วยการลอกผิวหนังด้วยสารเคมี (chemical peels)
เป็นเทคนิคที่นำมารักษาโรคสิวและรอยแผลเป็นสิวที่ใช้กันมาก วิธีนี้จะช่วยลอกสิวหัวดำและเม็ดสิวอักเสบ ช่วยลดรอยด่างดำที่เกิดจากการเป็นสิว ช่วยให้หลุมแผลเป็นชนิดตื้นตื้นขึ้นได้ แต่หากมีสิวอักเสบมาก ควรระวังการใช้วิธีลอกผิวนะคะ เพราะอาจระคายเคือง แสบแดง จากสารเคมีที่ใช้ได้ค่ะนอกจากนี้การลอกผิวด้วยสารเคมี ทำให้ผิวไวต่อแสง อาจเกิดรอยกระดำกระด่างซึ่งแก้ไขได้ยาก และใช้เวลานานกว่าผิวจะกลับมามีสีสม่ำเสมอ หลังลอกจึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรือใช้ยากันแดดที่มีค่า SPF อย่างต่ำ 15 ค่ะ
5. การรักษาสิวด้วยการฉายแสง (laser and light treatments)
ปัจจุบันมีเลเซอร์ และแสงหลายชนิดที่นำมาใช้ รักษาสิวค่ะ ส่วนใหญ่แล้วการรักษาด้วยวิธีนี้จะแก้ไขเพียงสาเหตุเดียวของพยาธิกำเนิด คือ ที่ตัวเชื้อ P. acnes เท่านั้น ข้อดีของวิธีนี้คือ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องทายา หรือกินยา แต่จะเหมาะสำหรับสิวบางตำแหน่งที่ทายาเองลำบาก เช่น ที่หลัง. แต่ข้อเสียคือ เทคนิคนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง1. การฉายแสงสีน้ำเงิน (Blue Light Therapy)
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้แสงสีน้ำเงินใน การรักษาสิว ซึ่งแสงช่วงคลื่นเฉพาะนี้จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิด สิว เนื่องจากแสงสีน้ำเงินที่ฉายออกมาไม่มีส่วนผสมของรังสียูวีจึงไม่ทำให้ผิวหนังได้รับอันตราย.การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะ กับผู้ที่เป็นสิวอักเสบธรรมดา แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบมากชนิดเป็นถุงซิสต์ที่เรียกว่าสิวหัวช้างก็อาจใช้ไม่ได้ผลดีนักคะ ควรรับประทานยาร่วมด้วย การรักษามักต้องทำต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในเวลา 4 สัปดาห์ ผลข้างเคียงที่พบมักไม่รุนแรง ได้แก่ ผิวเปลี่ยนสีชั่วคราว บริเวณที่รักษาบวมเล็กน้อย และผิวแห้ง
2. การฉายพลังงานแสง และ ความร้อน (Light and Heat Energy, LHE)
เชื่อว่าการใช้พลังงานแสงและ ความร้อนจะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และ ลดการทำงานของต่อมไขมัน โดยทำให้ต่อมไขมันหดตัวลง. ปัจจุบันองค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติให้ใช้แสงสีเขียวร่วมกับความร้อน รักษาสิวที่เป็นน้อยถึงปานกลางนอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ เช่น การทา ALA ร่วมกับ การฉายแสง, การใช้เทคนิค ELOSคือ ใช้พลังงานแสง (Intense Pulse Light, IPL) ร่วมกับคลื่นวิทยุ (radiofrequency, RF) , การใช้ไดโอดเลเซอร์ (Diode laser) , การใช้เพาส์ดายเลเซอร์ (pulsed dye laser)เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การใช้การฉายแสงรักษาสิว และเลเซอร์รักษาสิวนั้น ยังไม่จัดเป็นการรักษาสิวในลำดับแรก เพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูงค่ะ
สรุปแล้วการทำให้สิวหายขาดสามารถทำได้กับบางคน แต่สำหรับคนอย่างเช่นคนที่เป็นสิวฮอร์โมน หรือคนที่ผิวมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายอาจรักษาสิวให้หายขาดยาก แต่ก็สามารถควบคุมป้องกันสิวให้ขึ้นน้อยและไม่รุนแรงได้ หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว และได้รับการรักษาสิวอย่างถูกวิธีค่ะ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น